วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TMB ออกหุ้นกู้วงเงิน 5 หมื่นลบ. อายุไม่เกิน 270 วัน 

ให้รายใหญ่


         ธนาคารทหารไทย (TMB) เสนอขายหุ้นกู้ระยะสั้นของธนาคาร อายุไม่เกิน 270 วันนับจากวันที่ออกหุ้นกู้ หรือหุ้นกู้ระยะสั้นไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวนไม่เกิน 50,000 ล้านบาท โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยตลาด ณ ช่วงเวลาเสนอขาย
ทั้งนี้เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระยะจองซื้อตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.57 ถึงวันที่ 26 มิ.ย. 58
อันดับความน่าเชื่อถือองค์กร A+(tha) /Stable โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 30 ก.ย.56
ธนาคารมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ระยะสั้นไปใช้ในการดำเนินธุรกิจของธนาคาร


วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ ดาราสาวคลื่นลูกใหม่ร่วมแชร์ประสบการณ์ในงาน “TMB เปลี่ยน... เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น”





       หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ นักแสดงและพิธีกรหน้าหวาน ร่วมงานแถลงข่าว “เมค เดอะ ดิฟเฟอร์เรนซ์ 2014 (Make THE Difference 2014) ทีเอ็มบี เปลี่ยน... เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น” นำโดย ภารไดย ธีระธาดา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี มาร่วมแชร์ประสบการณ์เปลี่ยนชีวิตของตนเอง จากสาวหน้าหวาน เป็นสาวสปอร์ตเกิร์ลที่เข้าสู่วงการนักปั่นจักรยานอย่างเต็มตัว จนเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายๆ คน เข้าสู่วงการนักปั่นจักรยานด้วย ณ ห้องออดิทอเรียม ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน




วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557


ทิศทางธุรกิจ....ภายใต้โรดแมพ (Road Map) ของ คสช.



ทิศทางธุรกิจ....ภายใต้โรดแมพ (Road Map) ของ คสช.



ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองโรดแมพด้านเศรษฐกิจของ คสช. จะช่วยให้ภาคธุรกิจฟื้นตัวได้ แต่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชัดเจนของแผนงานในทางปฏิบัติ และการปรับตัวของผู้ประกอบการ  
ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม  ส่งผลให้ภาพการเมืองและเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศโรดแมพ (Road map) แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจออกมา ทาง TMB Analytics ได้มองภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศช่วงที่เหลือของปีออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 

กลุ่มแรก คือ “ธุรกิจที่ฟื้นตัวเร็ว” ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านค้าปลีกต่างๆ ซึ่งได้รับผลพวงจากเม็ดเงินจำนำข้าวที่ได้เริ่มดำเนินการจ่ายคืนกลับเข้าสู่กระเป๋าของเกษตรกรแล้วครึ่งหนึ่ง (ล่าสุดจ่ายแล้ว 4 หมื่นล้านบาทจากยอดค้างจ่าย 9.3 หมื่นล้านบาท) ทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น รวมถึงภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่มีทิศทางดีขึ้นหลังจากมีการยกเลิกประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญไปแล้วบางส่วน ได้แก่ พัทยา กระบี่ เกาะสมุย พังงา ภูเก็ต หาดใหญ่ ชะอำ เกาะช้าง หัวหิน และเกาะพะงัน 
กลุ่มต่อมา คือ “ธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว” ได้แก่ ธุรกิจผลิตและขายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ากำลังซื้อยังอ่อนแรงอยู่ แต่ด้วยทิศทางการปรับโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ ประกอบกับความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น จะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติได้อีกครั้งในปีหน้า อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่อิงกับภาคการเกษตรยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงอันเนื่องมาจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจจะส่งกระทบต่อกำลังซื้อของธุรกิจเหล่านั้นในระยะถัดไปได้ 
และในกลุ่มสุดท้าย คือ “ธุรกิจที่ต้องรอปัจจัยหนุน” ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องมีมาตรการหรือนโยบายจากภาครัฐช่วยกระตุ้น ได้แก่ กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ เครื่องจักรและอุปกรณ์  เนื่องจากภาครัฐอยู่ในระหว่างการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ การตั้งบอร์ดบีโอไอเพื่ออนุมัติเงินลงทุนกว่า 7.6 แสนล้าน การลดขั้นตอนจากออกใบอนุญาต รง.4 โดยเฉพาะโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งมาตรการต่างๆ เหล่านี้ อาจต้องรอเวลาสักพัก จึงจะทำให้กลุ่มธุรกิจที่รอปัจจัยหนุนได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ปัยจัยสำคัญสำหรับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจในปัจจุบัน เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคด้านความชัดเจนของโครงสร้าง นโยบาย แผนงาน และมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาว่าจะสามารถแปลงให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติได้มากขนาดไหน ซึ่งในส่วนภาคธุรกิจคงต้องปรับตัวตาม และเลือกวางแผนธุรกิจให้มีความสอดคล้องกับแผนงานใหม่ๆของภาครัฐ อันจะนำไปสู่การฟื้นตัวของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพได้


TMB เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น ตอกย้ำแนวคิด 

Make THE Difference


TMB เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น ตอกย้ำแนวคิด Make THE Difference


       เริ่ม “เปลี่ยน” กันตั้งแต่วันนี้ ก็ยังไม่สาย ไม่จำเป็นต้องทนกับความคุ้นเคยเดิมๆ ล่าสุด ทีเอ็มบี นำโดย ภารไดย ธีระธาดา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร จัดแถลงข่าวเปิดตัว “เมค เดอะ ดิฟเฟอร์เรนซ์ 2014” (Make THE Difference) “ทีเอ็มบี เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น” พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ไม่หยุดถาม” ที่สะท้อนแนวคิดให้คนไทยรู้จักท้าทายความเคยชินเดิมๆกับทุกสิ่งรอบตัวเรา เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีขึ้น ตามแนวคิด Make THE Difference โดยมีแขกผู้มีเกียรติที่ร่วมเสริมแนวคิด อาทิ วาทยกรหนุ่มอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ทฤษฎี ณ พัทลุง และ หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ นักแสดงสาวที่ได้พิสูจน์การ Make THE Difference กับเสน่ห์การปั่นจักรยาน ร่วมงาน ณ ออดิทอเรียม ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน

         ภารไดย ธีระธาดา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “ในปีนี้ Make THE Difference จะใกล้ตัวคนไทยมากขึ้น กับภาพยนตร์โฆษณา “ไม่หยุดถาม” ที่เรามองสิ่งต่างๆ รอบตัวจนชินชา กลายเป็นเรื่องปกติ จุดเริ่มต้น ที่จะ Make THE Difference อยู่ที่ “คำถาม” เพียงแค่ต้องเริ่มสร้างคำถาม หันมาตั้งคำถามกับตัวเอง และสิ่งรอบข้าง ว่าเราจะทำให้ดีกว่านี้ได้หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องทนกับความคุ้นเคยเดิมๆ เพียงแค่นี้ ก็จะเปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น ได้อย่างง่ายดาย”

          ผู้ร่วมเจตนารมณ์ในการ Make THE Difference อย่างวาทยกรหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ทฤษฎี ณ พัทลุง อัจฉริยะแห่งดนตรีคลาสสิกวัย 28 ปี ร่วมแชร์ประสบการณ์และบอกเล่าถึงจุดพลิกผัน ที่นำมาสู่การเปลี่ยน เผยว่า "ความล้มเหลวครั้งหนึ่งในการเป็นคอนดักเตอร์ที่ฝรั่งเศส ทำให้เกิดการเปลี่ยน ก็คือ มีจุดหมาย ในชีวิต ปรับปรุงตัวเองและ ไม่หยุดเรียนรู้ และยังสอนให้รู้ว่า ต่อให้เราอยู่สูงแค่ไหน เราก็ตกลงมาได้” ส่วน หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ ที่ได้ Make THE Difference กับเสน่ห์การปั่นจักรยานแบบเอ็กซ์ตรีม ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกับชีวิต เผยถึงการตั้งเป้าหมายอย่างภูมิใจว่า “ตอนนี้หวานรู้สึกมีความสุขกับการใช้ชีวิตมาก จากการตั้งเป้าหมายว่าจะชิงแชมป์แข่งจักรยานของประเทศไทย ซึ่งเราก็ไม่คิดว่า เราจะทำได้หรือไม่ แต่ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกจัดการชีวิตอย่างไร เมื่อเริ่มแค่ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง ลงมือทำ พอทำตามเป้าหมายได้ในระดับหนึ่งแล้ว คนมองเราเป็นแรงบันดาลใจ มันเป็นความสุขค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้ช่วยทำให้พวกเขามีสุขภาพดีขึ้น ออกจากหน้าจอโทรศัพท์ ออกจากโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คบ้าง เป็นการผ่อนคลาย มีชีวิตที่แฮปปี้ขึ้นค่ะ”

           อย่ากลัวที่จะคิดนอกกรอบ เริ่มตั้ง “คำถาม” กับตัวเอง และสังคมรอบข้าง ว่าเราทำให้ดีกว่านี้ได้หรือไม่ ตั้งแต่วันนี้ เพื่อ Make THE Difference เปลี่ยน ...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น


]



วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TMBAM เปิดตัวกองทุนหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เน้น บริหารเชิงรุกคัดสรรสินทรัพย์ชั้นดีทั้งไทยและต่างประเทศ


TMBAM เปิดตัวกองทุนหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เน้น บริหารเชิงรุกคัดสรรสินทรัพย์ชั้นดีทั้งไทยและต่างประเทศ


          ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM) เปิดเผยว่า “ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังมีความเปราะบาง ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงจนทำให้ไม่กล้าที่จะลงทุน ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศก็อยู่ในระดับต่ำจนไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ เราจึงได้นำเสนอทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนในการช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ต และขณะเดียวกันก็คาดหวังได้ว่าจะมีรายได้รับอย่างสม่ำเสมอพอสมควร โดยกำหนดออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อว่า กองทุนเปิดทหารไทยพร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส กำหนดเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 16-27 มิถุนายน ศกนี้ ผู้สนใจสามารถเริ่มลงทุนด้วยเงินขั้นต้นเพียง 1,000 บาท

กองทุนเปิดทหารไทยพร็อพเพอร์ตี้อินคัม พลัส มีนโยบายลงทุนในหุ้นหรือตราสารในหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรุกโดยเน้นการคัดสรรสินทรัพย์คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ พร้อมกำหนดนโยบายจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสโดยขึ้นกับผลการดำเนินงานในรอบนั้นๆ

“จุดเด่นของกองทุนนี้คือผู้จัดการกองทุนมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการลงทุนตามคุณลักษณะของการเป็น Fund of Property Funds แนวทางการบริหารเชิงรุก คัดสรรหน่วยลงทุน ตราสาร หรือหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน โดยมีกรอบการลงทุนที่กว้างขวางสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ ได้เพิ่มโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนสามารถบริหารจัดการเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี มีความสม่ำเสมอ และยังช่วยลดความเสี่ยงของการกระจุกตัวหรือพึ่งพาสินทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่มากจนเกินไป ดังนั้น เงินลงทุนที่เริ่มต้นเพียง 1,000 บาทของเราจึงมั่นใจได้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยดูแลและลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเสมือนว่าเราได้ลงทุนและเป็นเจ้าของโรงแรมหรู ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาคารสำนักงานหรืออสังหาริมทรัพย์เลื่องชื่อ ขณะเดียวกันก็ยังมีสภาพคล่องที่สูงกว่าการที่เราลงทุนเองโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์แห่งใดแห่งหนึ่ง โดยสามารถซื้อ/ขายได้ทุกวันทำการ”

กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะค่อนข้างยาว ชื่นชอบรายได้/ผลตอบแทนแบบกระแสเงินสดรับ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายจ่ายเงินปันผลของกองทุนที่ตั้งไว้เป็นรายไตรมาส (ไม่เกิน 4ครั้งต่อปี ขึ้นกับผลการดำเนินงานและเงื่อนไขเป็นไปตามหนังสือชี้ชวน) โดยพอร์ตการลงทุนในเบื้องต้นคาดว่าจะประกอบด้วยการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพของไทย และบางส่วนจะกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพราะมีทางเลือกการลงทุนได้หลากหลายและมีสภาพคล่องที่สูงกว่า อาทิเช่น การลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ของประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้ เราจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีการป้องกันความเสี่ยงของเงินต้นเกือบทั้งหมดหรือไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90” ดร.สมจินต์ กล่าวเพิ่มเติม

ผู้ที่สนใจลงทุนใน กองทุนเปิดทหารไทย หรือสนใจการลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆภายใต้การจัดการของบริษัทฯ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ TMBAM โทร 1725 หรือผ่านช่องทางการขายของบริษัท ได้แก่ TMB ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนการสนับสนุนการขาย และทางอินเตอร์เนตผ่านเวปไซด์ www.tmbam.com


แวลลูฯ นำทีม CSR ของ TMB เข้าเยี่ยมชมห้องสมุดโลกนิทานของหนู ณ โรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก อำเภอบางแพ    จังหวัดราชบุรี



ภาพข่าว: แวลลูฯ นำทีม CSR ของ TMB เข้าเยี่ยมชมห้องสมุดโลกนิทานของหนู ณ โรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี


          บริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด (ในเครืออีซีเอสโฮลดิงส์) หนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าส่งสินค้าไอทีในประเทศไทย โดยคุณณรงค์ อิงค์ธเนศ ประธานบริหาร ได้มอบหมายให้คุณวรรณา องค์ประเสริฐ ผู้จัดการโครงการโลกนิทานของหนู (แถวหน้า ที่ 1 จากขวา) นำคุณนพวรรณ แสงธีรกิจ และทีมงานโครงการ “ไฟ ฟ้า” หนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคมของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เข้าเยี่ยมชมห้องสมุดโลกนิทานของหนูแห่งที่ 7 พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กับท่าน ผอ. เจริญ ทองเมือง (แถวหน้า ที่ 3 จากขวา) และคณะครูของโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้



วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เลือกลงทุนอย่างมืออาชีพ'ยิ่งออม ยิ่งงอกเงย' 

ME by TMBทางเลือกใหม่ดอกเบี้ยสูงกว่าระบบ 6เท่า




         สถานการณ์การออมของคนไทยได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง และในภาพรวมพบว่าพฤติกรรมการออมของคนไทยน้อยลง แต่เมื่อลงลึกไปในข้อมูลจะพบว่า แท้จริงแล้วคนไทยทั้งประเทศมีบัญชีออมทรัพย์รวมกว่า 72 ล้านบัญชี และมีเงินออมในระบบรวมแล้วกว่า 10 ล้านล้านบาท (ตัวเลขล่าสุดในวันที่ 28 เม.ย.2557, ธนาคารแห่งประเทศไทย) คิดเป็นเงินในบัญชีออมทรัพย์สูงถึง 4.9 ล้านล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาแล้วพบว่า แท้จริงแล้ว คนไทยไม่ได้ออมน้อยลงเลย แต่ปัญหาคือเราออมอย่างถูกวิธีหรือไม่ การที่เราปล่อยเงินให้นอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ นั่นไม่ต่างอะไรกับการปล่อยเงินนอนหลับอยู่ แล้วรอเวลาที่จะลดมูลค่าลง เปรียบได้กับคำว่า "ยิ่งออม ยิ่งไม่งอกเงย"
"ดังนั้น...จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้อง "ปลุก" เงินของคุณให้ "ตื่น" เพื่อให้เงินได้งอกเงย โดยการเปลี่ยนมุมมองใหม่ ให้มองการออมเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการออมเพื่อการลงทุนถือเป็นรูปแบบการลงทุนและการบริหาร
เงินที่ไม่มีความเสี่ยง โดยมีเคล็ดลับง่ายๆ คือ การเลือกออมในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ เช่น บัญชี ME ซึ่งให้ดอกเบี้ยสูงสุดถึง 3.25 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปถึง 6 เท่า อีกทั้งเป็นบัญชีที่มีความคล่องตัวในการฝากหรือถอน สามารถเช็คดูจำนวนดอกเบี้ยที่งอกเงยทุกวันเพื่อเป็นกำลังใจในการออม ME by TMB จึงจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ "WAKE UP YOUR MONEY WITH ME" ปลุกเงินให้ตื่น กระตุ้นคนไทยให้ปลุกเงินที่นอนหลับอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำ มาศึกษาทางเลือกการออมใหม่ๆ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงเช่น ME by TMB" น.ส.รัชดา เสริมศิลปกุล ผู้อำนวยการการตลาดและการขาย ME by TMB กล่าว
เพราะฉะนั้นถ้าอยากมั่นใจว่าในวัยเกษียณจะสามารถใช้ชีวิตสบายๆ ได้อย่างที่ฝัน ก็ต้องมีการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเหมาะสมกับตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด คือ การออมเงิน ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเริ่มออมช้าก็ยิ่งต้องเพิ่มจำนวนเงินออมในแต่ละเดือนให้มากขึ้นเรื่อยๆ

ปลุกเงินออมด้วยดอกเบี้ยสูง
มาคิดกันง่าย.... แล้วถ้าเป็นเงินออมของคุณจะปลุกให้มันตื่นได้อย่างไร?ในกรณีที่ออมเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท โดยวิธีการแบบเดิมๆ คือ ฝากออมทรัพย์ (อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5% ต่อปี) เวลาผ่านไป 1 ปี เท่ากับมีเงินออมอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นบาท จะได้รับดอกเบี้ยทั้งสิ้นเพียง 163 บาท
แต่หากเปลี่ยนมาเป็นการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากขึ้น หรือ ฝากเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น เช่น ME by TMB ได้ดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านไป 1 ปี เราจะมีเงินออม 6 หมื่นบาท บวกกับดอกเบี้ยอีกประมาณ 1,065 บาท
ดอกเบี้ย 1,065 บาท ดูเหมือนจะน้อยนิด แต่ถ้าเราเดินหน้าออมเงินเดือนละ 5,000 บาทไปจนครบ 5 ปี เงินฝากจะเพิ่มเป็น 3 แสนบาท และได้ดอกเบี้ยประมาณ 9,445 บาท ซึ่งต่างกันลิบลับกับการฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ เพราะจะได้ดอกเบี้ยเพียง 1,374 บาท เท่านั้น
นอกจากนี้ หากเรายังคงรักษาวินัยในการออมเงินไว้ที่เดือนละ 5,000 บาท โดยได้ดอกเบี้ย 3.25% ไปอย่างต่อเนื่อง เงินออมของเรากลายเป็น ล้านบาท ภายใน 13 ปี แต่ถ้าได้ดอกเบี้ย 0.5% จะต้องฝากกันนาน 17 ปี กว่าจะมี 1 ล้านบาท ถ้าให้เงินล้านก้อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินสำหรับเกษียณ ซึ่งเป็นเงินสำหรับใช้ชีวิตในวันที่ไม่มีรายได้แล้ว ก่อนจะนำเงินก้อนนี้ไปทำอะไรจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ต้องคิดถึงความปลอดภัยของเงินต้น และผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
หลายคนมองซ้ายมองขวาแล้ว ไม่รู้จะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนอะไรให้เงินงอกเงย จึงลงเอยที่ฝากเงินไว้กับธนาคาร เพราะคุ้นเคยที่สุด สบายใจที่สุด ในกรณีที่นำเงินล้านนี้ไปฝากไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั้งหมด แล้วค่อยๆ ทยอยเบิกออกมาใช้เดือนละ 5,000 บาท เงินนี้จะหมดไปภายใน 17 ปี แต่ถ้าฝากไว้ที่ ME by TMB ได้ดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี เงินจำนวนนี้จะยืดอายุออกไปได้อีก 6 ปี หรือใช้ไปได้นานถึง 23 ปี นี่ถือเป็นตัวอย่างที่คิดคำนวณเปรียบเทียบให้เห็นถึงความต่างของดอกเบี้ยที่เราจะได้รับ
         เตรียมพร้อม...ใช้ชีวิตแฮปปี้หลังเกษียณ ด้วย "การออม"อีกหนึ่งข้อมูลทำไม การออมจึงสำคัญ....เชื่อหรือไม่ว่า อีกไม่ช้าไม่นาน ประเทศไทยจะไม่ต่างจากประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะมีแต่ "ผู้สูงวัย" นั่นเพราะประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และในปี 2568 จะกลายเป็น "สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์" ตามการคาดการณ์ของกระทรวงสาธารณสุข
และอีกไม่ช้าไม่นานเช่นกัน เราก็จะเป็นหนึ่งในผู้สูงวัยเหล่านี้...ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงวันนั้นเราอาจจะไม่ได้เป็นคนแก่ที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เนื่องจากมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะใช้ชีวิตแบบสุขสบายอย่างที่หวังไว้
ถ้าจะหวังพึ่งพารายได้จากลูกหลาน ก็คงต้องเตรียมใจเผื่อเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะคนที่เลือกใช้ชีวิตโสด ยิ่งต้องเตรียมพร้อมเรื่องการเงินอย่างดี เพราะนอกจากไม่มีลูกหลาน ยังต้องสามารถดูแลตัวเองให้ได้ด้วย เพราะในอนาคตคนวัยทำงานหนึ่งคนจะต้องแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ลูกหลานของคนอื่นไม่มีกำลังเหลือพอมาดูแลผู้สูงอายุอย่างเรา
นั่นเพราะถ้าดูจาก อัตราส่วนเกื้อหนุนผู้สูงอายุ (Potential support ratio : PSR) จะเห็นว่า ผู้สูงอายุในปี 2543 มีคนวัยทำงานมาช่วยเหลือดูแลได้มากถึง 7 คน แต่ประเมินกันว่า ในปี 2573 ผู้สูงอายุไทยแต่ละคนจะมีคนวัยทำงานที่อาจจะช่วยในการดูแลค้ำจุนเพียง 2 คนเท่านั้น
ดังนั้นถ้าเรามีการวางแผนการออมและการลงทุน ไว้สำหรับใช้จ่ายในวัยเกษียณอย่างเหมาะสม ก็จะใช้ชีวิตในวัยแห่งการพักผ่อนได้อย่างสบายๆ ไม่ลำบาก
แต่จากการสำรวจการเตรียมความพร้อมสำหรับการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณของกลุ่มแรงงานในระบบ ช่วงอายุ 40-60 ปี โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนไทย 86% จะกลายเป็น "คนแก่มีกรรม" เพราะมีเงินไม่พอใช้ในวัยหลังเกษียณ

สาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีเงินไม่พอใช้ มีอยู่ 2 ข้อใหญ่ๆ คือ 
             1. ออมเงินไว้น้อยเกินไป ถ้าต้องการจะใช้ชีวิตสบายๆ แบบคนแก่ที่พอมีพอกิน เราต้องเริ่มวางแผนเก็บออมไว้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เพราะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเก็บออมให้เพียงพอสำหรับชีวิตอีก 20-30 ปีหลังจากเกษียณ
ลองคิดง่ายๆ ว่า ถ้าหลังจากเกษียณอยากจะใช้เงินสักเดือนละ 1.5 หมื่นบาท ไปอีก 25 ปี หลังจากเกษียณ เราจะต้องมีเงินอย่างน้อยๆ 4.5 ล้านบาท ในวันเกษียณ
แต่น่าเสียดายที่คนไทยออมเงินไว้น้อยเกินไป เห็นได้จากระดับการออมของครัวเรือนไทย มีค่าเฉลี่ยการออมต่อรายได้อยู่ที่ 11.3% แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 9.2% เท่านั้นเพราะฉะนั้นถ้าอยากจะใช้ชีวิตสบายๆ ในวัยเกษียณจะต้องเริ่มออมตั้งแต่ตอนนี้ และต้องเริ่มให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเริ่มออมช้าก็ยิ่งต้องเพิ่มจำนวนเงินออมในแต่ละเดือนให้มากขึ้น
การเงินออมทำได้ง่ายๆ คือ มีรายได้เท่าไรให้หักออกไปออมก่อนเสมอ และใช้เงินเท่าที่เหลือจากการออมเท่านั้น
และวิธีที่ช่วยให้การออมเงินเดินหน้าไปตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น  คือ การออมแบบเท่าๆ กันทุกเดือน โดยอาศัยการตัดบัญชีอัตโนมัติจาก บัญชีเงินเดือนไปเก็บไว้ในอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เรารักษาวินัยในการออมได้ดีมากขึ้น
นอกจากนี้ บัญชีที่จะใช้เป็นบัญชีสำหรับการออมเงิน ก็ไม่ควรจะทำให้
เบิกเงินได้ง่ายเกินไป จึงไม่ควรเป็นบัญชีที่มีบัตรเอทีเอ็ม จะได้มีเวลาคิดทบทวนก่อนจะเบิกออกมาใช้
         2.ฝากเงิน ได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป หลายคนบอกว่า ออมเงินมาตั้งนาน แต่ดูเหมือนเงินไม่ได้งอกเงยขึ้นสักเท่าไร นั่นอาจจะเกิดจากการออมที่ได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป หรือเป็นการลงทุนที่ไม่กล้ารับความเสี่ยง ทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนน้อยตามไปด้วย
เพราะแม้เราจะบอกว่า คนไทยมีระดับการออมไม่มากนัก แต่ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า คนไทยทั้งประเทศมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารรวมกว่า 83 ล้านบัญชี และมีเงินออมในระบบรวมกว่า 10 ล้านล้านบาท

แต่เงินฝากเหล่านี้ได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป
ลองนำเงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ 3-12 เดือน รวมกันประมาณ
8.4 ล้านล้านบาท มาคำนวณดูว่า ในระยะเวลา 1 ปี เงินจำนวนนี้ที่ฝากอยู่ในธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยรวมกันเท่าไร... ผลที่ได้ คือ เงินฝากจำนวนนี้จะ ได้ดอกเบี้ยประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท
ทีนี้ลองคิดแทนคนทั้งประเทศว่า ถ้าเปลี่ยนจากฝากออมทรัพย์ทั่วๆ ไป หรือฝากประจำ แล้วย้ายไปหาการลงทุน หรือการออมที่ได้ดอกเบี้ยมากยิ่งขึ้น ปีละ 3.25% เงินฝากจำนวนเดียวกันนี้จะได้ดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 2.74 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.97 แสนล้านบาท ภายในเวลาเพียง 1 ปี
ทีนี้ก็พอจะเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เงินเราไม่งอกเงยก็เพราะเราปล่อยเงินของเราให้นอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีมานานเกินไป
เพราะฉะนั้นคงต้องรีบปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นมาออม พร้อมๆ กับปลุกเงินของเราให้ตื่นได้แล้ว..




ทีเอ็มบีแฉรายย่อยฝากน้อยแต่กู้หนัก 

บั่นทอนศักยภาพการชำระหนี้



          ทีเอ็มบีแฉรายย่อยฝากน้อยแต่กู้หนัก บั่นทอนศักยภาพการชำระหนี้  แนะรัฐชูการออมเป็นนโยบายชาติ
          ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ระบุว่า ยุทธศาสตร์สนับสนุนการออมของประเทศเป็นสิ่งจำเป็นหลังสัญญาณการออมในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ส่อปัญหาเงินฝากของรายย่อยเพิ่มขึ้นไม่ทันการขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย แม้ทางเลือกในการออมจะมีหลากหลายแต่การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ก็ยังเป็นทางเลือกอันดับแรกเพราะใช้บริการได้ง่ายและปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขกฎหมายคุ้มครองเงินฝากที่มียอดไม่เกิน 1 ล้านบาท จะได้รับการคุ้มครองแน่นอน ทำให้การออมของประชาชนจึงยังอยู่ที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ฝากเงินรายย่อย
          ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา (เปรียบเทียบข้อมูล มีนาคม 2547 กับ มีนาคม 2557) พบว่าการฝากเงินของรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อบัญชี มีสัดส่วน 98% ของจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมดแต่มีอัตราการเพิ่มของยอดเงินฝากโดยเฉลี่ยเพียง 5.7% ต่อปี ต่ำกว่าการขยายตัวของรายได้ต่อหัวของคนไทยที่เพิ่มขึ้น 6.5% ต่อปี ที่แย่ไปกว่านั้นคืออัตราการขยายตัวของเงินฝากรายย่อยนั้นต่ำกว่าการก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มถึง 13.7% ต่อปี  เมื่อศึกษาพฤติกรรมการออมของคนไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาพบว่า อัตราการเติบโตของยอดเงินในบัญชีมักจะเพิ่มตามขนาดของบัญชี อาทิ กลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาท มีการขยายตัวของยอดเงินฝากรวมที่อัตรา 4.5% ต่อปี ต่ำกว่ากลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดระหว่าง 5 แสนถึง 1 ล้านบาท ที่ขยายตัว 6.3% ทำให้ตีความได้ว่าผู้ที่มีกำลังการออมสูงกว่าหรือมีรายได้ที่จะออมมากกว่าจะมีความสามารถ “ให้เงินทำงาน” ได้มากกว่า
           แต่ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงก็เพิ่มเงินออมได้ถ้าตั้งใจจริงโดยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเช่นควรเลิก “จน เครียด กินเหล้า” เพราะจากตัวเลขการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2554 ชี้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบมีสัดส่วนประมาณ 1% ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน หากเลิกใช้จ่ายส่วนนี้ได้เงินออมก็งอกเงย 1% ของรายจ่ายต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายในการเล่นหวยและการพนันมีสัดส่วนประมาณ 1% ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน ดังนั้นถ้าเลิกเหล้าและการพนันได้ เงินออมก็จะงอกเงยร่วม 2% ยิ่งหากลดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารที่มีโครงสร้างประมาณ 3% ของรายจ่ายรายเดือนลงได้หนึ่งในสาม เราจะมีเงินออมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3%
           จากผลสำรวจเดียวกันนี้ยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยจะมีสัดส่วนหนี้ที่นำมาใช้ในการบริโภคอุปโภคต่อหนี้สินในอัตราที่ค่อนข้างสูง กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท จะมีสัดส่วนของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึง 51% เทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท ที่มีสัดส่วนเพียง 36%
           สถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นภาวะออมน้อยกู้มาบริโภคหนักโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งส่งผลไปยังศักยภาพในการชำระหนี้รวมไปถึงปัญหาทางการเงิน ยิ่งกว่านั้นการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยอาจสร้างภาระทางการเงินให้กับประเทศได้มาก เช่น คนอาจมีเงินไม่พอใช้จ่ายในการดำรงชีพ หรือ รัฐต้องจัดงบประมาณให้เป็นสวัสดิการแก่ประชาชนมากขึ้นซึ่งจะก่อให้มีปัญหาการคลังตามมาได้ เป็นต้นหากภาวะการออมของคนไทยยังไม่ได้รับการดูแลแก้ไขให้เป็นนโยบายระดับชาติ

ที่มา : http://www.ryt9.com เสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2557

วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทีเอ็มบีสนับสนุนซิมโฟนี่ขยายวงจรสื่อสารความเร็วสูงทั่วประเทศและเตรียมเชื่อมการสื่อสารกับประเทศเพื่อนบ้าน



ทีเอ็มบีสนับสนุนซิมโฟนี่ขยายวงจรสื่อสารความเร็วสูงทั่วประเทศและเตรียมเชื่อมการสื่อสารกับประเทศเพื่อนบ้าน

          
          ทีเอ็มบี สนับสนุนบริษัทซิมโฟนี่ 300 ล้านบาท เพื่อลงทุนขยายโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานวงจรสื่อสารความเร็วสูง ให้ครอบคลุมพื้นที่บริการทั่วประเทศ และใช้เป็นฐานเชื่อมโยงการสื่อสารไปยังประเทศเพื่อนบ้าน   นายพีรพงศ์ นิธิไกรวุฒิ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าบรรษัทธุรกิจ 1 ทีเอ็มบี เปิดเผยว่าในปีที่ผ่านมาปริมาณการใช้อินเตอร์เน็ตของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นถึง 40%   และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งรวมผู้ใช้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และในระดับภูมิภาคจากประเทศเพื่อนบ้าน  ธนาคารมองว่าปัจจุบันประเทศไทยยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับอินเทอร์เน็ตและแอพพลิเคชั่นต่างๆ  ดังนั้น โอกาสการเติบโตของผู้ให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงจึงยังมีอีกมาก   เรียกว่าเติบโตควบคู่กับความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจก็ว่าได้ และในโอกาสที่บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ SYMC ได้ขยายโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานสำหรับวงจรสื่อสารความเร็วสูงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัท ซิมโฟนี่ฯ  ซึ่งมีความสามารถในการตอบสนองความต้องการของตลาดในระยะยาวและมีรายได้ที่เติบโตสม่ำเสมอจากการให้เช่าโครงข่ายการสื่อสาร ในปีนี้ ธนาคารจึงได้ให้การสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมจำนวน 300 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีอยู่จำนวน 200 ล้านบาท  สำหรับนำไปลงทุนขยายโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม  โดยบริษัท ซิมโฟนี่ฯ มีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่การให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการวงจรความเร็วสูงระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรองรับ ธุรกรรมการสื่อสารที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 
นายกรัณย์พล อัศวสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมโฟนี่ คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัท ซิมโฟนี่ฯ ได้ขยายพื้นที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตรงกับความต้องการการเชื่อมต่อที่มากขึ้น และขยายแบนด์วิดธ์เพิ่มขึ้น เช่น การเชื่อมต่อในโครงข่ายส่วนบุคคล ดิจิตอลทีวี โทรศัพท์ 3G ทั้งนี้ บริษัท ซิมโฟนี่ฯ เป็นผู้ให้บริการวงจรสื่อสารความเร็วสูงภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยใช้โครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงเป็นโครงข่ายหลัก เพื่อรองรับการสื่อสารในรูปแบบต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สอง ประเภทมีโครงข่ายเป็นของตนเอง จากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในปี 2549 และในปี 2554 บริษัท ซิมโฟนี่ฯ ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม เพื่อให้บริการวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ (International Private Leased Circuit : IPLC) ใบอนุญาตเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตเกตเวย์ระหว่างประเทศ (International Internet Gateway : IIG) และบริการชุมสายอินเทอร์เน็ต (National Internet Exchange : NIX) แบบที่สอง และได้รับอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยี Wi-Fi เพิ่มเติมจากโครงข่ายเดิมตามใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สอง ประเภทมีโครงข่ายเป็นของตนเองฉบับเดิม  นอกจากนี้ บริษัทซิมโฟนี่ฯ ยังได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม การให้บริการอินเทอร์เน็ตแบบที่หนึ่ง  และใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์เพื่อให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ที่ไม่ใช้คลื่นความถี่ระดับชาติ ในปี 2556


ME จับมือ นิตยสาร Esquire จัดงาน Money Grows เปิดมุมมองใหม่ไขเคล็ดลับการออมให้งอกเงย






               นางสาวรัชดา เสริมศิลปกุล ผู้อำนวยการการตลาดและการขาย ME by TMB (ที่ 3 จากซ้าย) พร้อมด้วย นายภาณุ บุรุษรัตนพันธุ์ บรรณาธิการนิตยสาร Esquire (ที่ 5 จากซ้าย) จัดกิจกรรมเสวนาจิบกาแฟยามบ่ายในหัวข้อ “Money Grows ไขเคล็ดลับการวางแผนการเงินและทางเลือกใหม่สำหรับการออมให้งอกเงยกับ ME by TMB” โดยได้รับเกียรติจากบรรณาธิการนิตยสารและนักเขียนชื่อดัง วรรณศิริ ศรีวราธนบูลย์ (ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การออมเงิน ณ ร้านคอฟฟี่ คลับ เมื่อเร็วๆ นี้

ทีเอ็มบีสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้ แซส เทค โซลูชั่น



ทีเอ็มบีสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนให้ แซส เทค โซลูชั่น


              นายไตรรงค์ บุตรากาศ (ซ้าย) หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ธนาคารได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ บริษัท แซส เทค โซลูชั่น จำกัด เป็นจำนวน 195 ล้านบาท เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันประกอบธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์ สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมัน ได้แก่  เครื่องชั่งอัตราการไหลระดับความสูง, เครื่องจักรกล, ปั๊ม, วาวล์ และเครื่องมือทุกชนิด เพื่อจำหน่ายให้กับบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ โดยนายนายสุรศักดิ์ อุดมศิลป์ กรรมการ บริษัท แซส เทค โซลูชั่น จำกัด ร่วมลงนามในสัญญา ณ ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่


วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

“ความเป็นเมือง” พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค




          ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ชี้ เทรนด์ความเป็นเมืองกำลังขยายตัวสู่หลายจังหวัดในภูมิภาค  สามารถกระจายรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่  นับเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กว้างขึ้น และเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ภูมิภาค
จากการขยายตัวของเศรษฐกิจภูมิภาคซึ่งเป็นที่สนใจในขณะนี้ ซึ่งสามารถรับรู้ได้จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ของประชาชนในภูมิภาค ทำให้กำลังซื้อของประชาชนสูงขึ้น การบริโภค การพักอาศัยและรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวันใกล้เคียงกับประชาชนเขตกรุงเทพฯ มากขึ้น นั่นคือ สังคมมี “ความเป็นเมือง” (Urbanization) มากขึ้นนั่นเอง ยิ่งเศรษฐกิจในพื้นที่ดีต่อเนื่อง ย่อมทำให้รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ความเป็นเมืองก็จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วย จากข้อมูลเราพบว่า จังหวัดที่มีจุดเด่นทางด้านเศรษฐกิจ จะมีความเป็นเมืองเร็วกว่าจังหวัดอื่นๆ จุดเด่นที่สำคัญคือ
จังหวัดท่องเที่ยว : (ภูเก็ต เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี กระบี่) เศรษฐกิจมีความเป็นเมืองได้เร็วที่สุด เห็นได้จากปริมาณการค้าจังหวัดกลุ่มนี้เติบโตเฉลี่ย 5.44% ต่อปี เพราะเกิดการจ้างงานกระจายรายได้เป็นวงกว้าง เกิดธุรกิจจำนวนมากจากการท่องเที่ยว รายได้ประชาชนจึงเพิ่มขึ้นเร็ว 
จังหวัดฐานการผลิต : (ชลบุรี ระยอง อยุธยา ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระบุรี) ปริมาณการค้าเติบโตเฉลี่ย 5.37% ต่อปี จังหวัดกลุ่มนี้มีนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคพื้นฐาน จึงเกิดการจ้างงานจำนวนมากในพื้นที่ การเติบโตของการค้าอ่อนไหวตามปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ
                                    
จังหวัดการค้าแถบชายแดน : (สงขลา อุดรธานี หนองคาย อุบลราชธานี เชียงราย) เนื่องจากความได้เปรียบที่ตั้ง ทำให้เกิดการค้า การท่องเที่ยวและการลงทุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในจังหวัดกลุ่มนี้ ปริมาณการค้าเติบโต 4.37%ต่อปี และน่าจะเติบโตต่อเนื่องจากเศรษฐกิจเพื่อนบ้านที่ยังมีทิศทางสดใส             
           
จังหวัดการค้าและการขนส่ง : (นครราชสีมา ขอนแก่น นครสวรรค์ พิษณุโลก) เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ มีกำลังซื้อจากจังหวัดขนาดเล็กที่อยู่รายรอบช่วยหนุนเศรษฐกิจจังหวัดกลุ่มนี้ ปริมาณการค้าขยายตัวเฉลี่ย 4.06% ต่อปี การเติบโตของการค้าอ่อนไหวตามปัจจัยในประเทศเป็นหลัก

ขณะที่เขต กทม.และปริมณฑล มีการค้าเติบโตเฉลี่ย 4.22% ต่อปี ทั้งสี่กลุ่มจังหวัดจึงมีความเป็นเมืองเร็วมาก และบางจังหวัดอาจมีจุดเด่นหลายด้าน เช่น ชลบุรี ระยอง อยู่ในกลุ่มจังหวัดฐานการผลิต และยังมีการท่องเที่ยวเป็นจุดเด่นอีกด้วย จึงทำให้การค้าขายคึกคักกว่าจังหวัดอื่น ระดับของความเป็นเมืองจึงเกิดเร็วขึ้นตามรายได้ของประชาชน กลุ่มที่ความเป็นเมืองใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี ระยอง สงขลา นครราชสีมา ขอนแก่น จังหวัดที่ก้าวสู่ความเป็นเมืองมากขึ้นคือ สุราษฎร์ธานี กระบี่ อยุธยา สระบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี อุดรธานี หนองคาย อุบลราชธานี เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก

การก้าวสู่ความเป็นเมือง ถือเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและไลฟ์สไตล์ เนื่องจากประชาชนมีกำลังซื้อสูงขึ้น จึงต้องการสินค้าและบริการที่ยกระดับคุณภาพชีวิต และความสะดวกสบายมากขึ้นนั่นเอง ธุรกิจที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนคือ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ที่จะมีรูปแบบของร้านค้าทันสมัย เช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า อาหารและเครื่องดื่ม ดังนั้นธุรกิจ SME ในพื้นที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นและความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นพร้อมๆ กัน การเรียนรู้ความต้องการของผู้บริโภคและตอบสนองอย่างตรงจุด จะช่วยลดความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรงจากธุรกิจขนาดใหญ่ได้และได้รับผลบวกเต็มๆ จากเทรนด์ ”ความเป็นเมือง”



หั่นคาดการณ์ 2557 หวั่นการเมืองกระชับพื้นที่เศรษฐกิจ


            ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ลง จากร้อยละ 2.9 เหลือร้อยละ 2.0 เหตุความไม่แน่นอนทางการเมืองบั่นทอนการใช้จ่าย โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน คาดอาจได้เห็นสภาพัฒน์ฯ เผยจีดีพีไตรมาสแรกหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 1.7
            เครื่องชี้เศรษฐกิจไตรมาสแรกปี 2557 หลายตัวบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของภาวะเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากความยืดเยื้อของสถานการณ์ทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวลดลงร้อยละ 1.4 ในเดือนมีนาคม หรือดัชนีการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวถึงร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และการชะลอการลงทุนออกไปก่อนของภาคธุรกิจ
จริงอยู่ที่เศรษฐกิจไทยนั้นเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสสองของปี 2556 ก่อนที่การชุมนุมทางการเมืองจะเริ่มต้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเมืองเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การชะลอตัวดังกล่าว “ลากยาว” แทนที่จะกลับมาฟื้นตัวได้ตามวัฏจักรเศรษฐกิจตามปรกติ ซึ่งถ้าพิจารณาตามปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่งแล้ว เราไม่ควรเห็นภาวะซบเซาข้ามปีเช่นนี้

จากทิศทางเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแรงดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 2.0 หรือลดลงมาเกือบร้อยละหนึ่งจากที่ประเมินไว้ก่อนหน้า โดยองค์ประกอบสำคัญของจีดีพีที่หน่วงการขยายตัวก็คือ

การลงทุนซึ่งน่าจะหดตัวจากปีก่อนหน้ากว่าร้อยละ 5 ในขณะที่การส่งออกเองก็อาจไม่ออกมาดีอย่างที่หลายฝ่ายคาด จากข้อจำกัดบางประการ อาทิ ปัญหาด้านอุปทานของการส่งออกกุ้งจากโรคตายด่วน  ราคาสินค้าเกษตร (โดยเฉพาะข้าวและยางพารา) ซึ่งยังถูกกดดันตามราคาตลาดโลก ซ้ำเติมกลไกภาครัฐที่ยังปฏิบัติการได้ไม่เต็มที่จากการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมสะดุดลง
ศูนย์วิเคราะห์ฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ในขณะที่ความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (จีดีพีหดตัวติดต่อกันสองไตรมาส) ยังคงมีความเป็นไปได้ต่ำ ภายใต้สเถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นบ้างแต่ยังไม่น่ากังวล อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะถูกตรึงไว้ที่ระดับค่อนข้างต่ำ และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเอื้อต่อผู้ส่งออก

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขคาดการณ์ข้างต้น อยู่บนสมมติฐานที่ว่าประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่ในช่วงไตรมาสสามของปี แต่หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในปีนี้ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะมีความเสี่ยงขาลงมากขึ้น ทำให้อาจเติบโตไม่ถึงร้อยละ 2 ก็เป็นได้

รายงานจีดีพีของสภาพัฒน์ ในครั้งนี้ จึงถือว่ามีความสำคัญต่อภาคธุรกิจ และจะมีผลเชิงจิตวิทยาต่อนักลงทุนเช่นกัน เพราะนอกจากจีดีพีไตรมาสหนึ่งจะเป็นไตรมาสแรกที่ได้เห็นผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างเต็มๆ แล้ว ตัวเลขนี้จะฉายให้เห็นภาพเศรษฐกิจในไตรมาสที่เหลือของปีอีกด้วย จึงจำเป็นที่ต้องจับตาแถลงการณ์วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคมนี้ อย่างใกล้ชิด 


วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ทีเอ็มบี ตอบโจทย์ธุรกรรมการเงินต้อง TMB นำเสนอผลิตภัณฑ์ บริการ ที่หลากหลายความสุขทางการเงิน พร้อมยกระดับสิทธิประโยชน์ให้ชีวิตดียิ่งขึ้นอย่างแท้จริงในงาน Money Expo 2014




               ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ในงาน Money Expo 2014 ซึ่งธนาคารได้มุ่งมั่นนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างสร้างสรรค์ สร้างคุณค่าเพื่อยกระดับสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้ามีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ด้วยความหลากหลายความสุข ทางการเงินจาก TMB เพื่อตอกย้ำ“ธุรกรรมการเงินต้อง TMB” ทั้งด้านเงินฝาก สินเชื่อ บัตรเครดิต ประกัน การลงทุน และบัญชี ME ฝากไม่ประจำ ดอกเบี้ยสูง 4 เท่าของออมทรัพย์ ในงาน Money Expo 2014 ตั้งแต่วันที่ 8-11 พฤษภาคมนี้ ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
               
                 ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ Make THE Difference ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ชีวิตของลูกค้าดีขึ้น ซึ่งทีเอ็มบีนำมาเสนอในงาน Money Expo 2014 ประกอบไปด้วย
                
                 ME by TMB บัญชีเงินฝากรูปแบบใหม่ ถอนได้ ดอกเบี้ยสูง 4 เท่าของออมทรัพย์ ที่มอบความสะดวก และความคุ้มค่าสำหรับลูกค้าที่ชอบบริหารจัดการการเงินด้วยตนเองผ่านอินเตอร์เน็ตแบงก์กิ้ง ฝาก-ถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ และดูดอกเบี้ยได้ทุกวัน ทุกเวลา และสำหรับลูกค้าที่นำบัตรประชาชนพร้อมสมุดบัญชีออมทรัพย์มาลงทะบียนขอเปิดบัญชีภายในงาน พิเศษ รับ “บัตรกำนัลสตาร์บัคส์ มูลค่า 100 บาท” ทันที
             
                 บัญชีเงินฝากทีเอ็มบีช่วยให้ลูกค้ารวยแบบง่ายๆ ด้วย “บัญชีเพื่อใช้” (Transactional Account) ที่ช่วยประหยัดค่าธรรมเนียม และ “บัญชีเพื่อออม” ที่ให้ดอกเบี้ยสูง สำหรับ “บัญชีเพื่อใช้” เป็นบัญชีเงินฝากที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินประจำวันทุกประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพและพิสูจน์แล้วว่าช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริงอย่างคุ้มค่าในการทำธุรกรรม เช่น กดเงิน จ่ายบิล และโอนเงิน ผ่านตู้เอทีเอ็ม อินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง โมบายแบงกิ้ง และโฟนแบงกิ้ง โดยมีให้เลือกตามปริมาณการใช้งานของลูกค้า ทั้งบัญชี“TMB โน ฟี” สำหรับลูกค้าที่ทำธุรกรรมจำนวนมาก ทำรายการได้ฟรีรวมสูงสุด 20 ครั้งต่อเดือน และ บัญชี TMB ธุรกรรมทำฟรี สำหรับลูกค้าที่ทำรายการธุรกรรมทางบัญชีน้อยลงมา โดยสามารถกดเงิน จ่ายบิล โอนเงิน ผ่านช่องทางอิเลกทรอนิกส์ ได้ฟรี รวมสูงสุด 10 ครั้งต่อเดือน 

                  นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเปิดบัญชีในกลุ่ม “บัญชีเพื่อออม” ซึ่งธนาคารขอนำเสนอ “บัญชีเงินฝากไม่ประจำ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยสูง” (No Fixed) เป็นบัญชีให้ดอกเบี้ยสูง 2.25% ปราศจากข้อจำกัดใดๆ ถอนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำในการเปิดบัญชีและฝากเพิ่ม
“บัญชีเงินฝากออมทรัพย์แทนความห่วงใย” (TMB Savings Care) ที่ให้ลูกค้าทั้งออม พร้อมรับความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ สูงสุด 1 ล้านบาท โดยลูกค้าไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกัน เพียงลูกค้าเปิดบัญชีขั้นต่ำ 5,000 บาท ก็จะได้รับความคุ้มครอง 20 เท่าของยอดเงินฝาก สูงสุด 1 ล้านบาท พิเศษสุดเมื่อเปิดบัญชีภายในงานฯ จะได้รับ “สมุดนิทานแทนความห่วงใย” จำนวน 1 เล่ม ซึ่งเป็นเรื่องราวความห่วงใยในครอบครัวมาร้อยเรียงถ่ายทอดผ่านสมุดนิทานและตัวการ์ตูนป๊อปอัพ และลุ้นรับหมอนผ้าห่มนกฮูกสุดน่ารัก เพียงแชร์เรื่องราวและภาพความประทับใจในครอบครัวพร้อมถ่ายรูปคู่สมุดนิทานผ่าน Facebook หรือ Instagram ใส่ #TMBSavingsCare และระบุอีเมล์ของลูกค้า ตั้งแต่วันนี้ - 31 พ.ค. 2557

                 ในส่วนของสินเชื่อ ทีเอ็มบีมีข้อเสนอพิเศษ อาทิ กู้บ้าน ที่ ทีเอ็มบี ดอกเบี้ยดี ตลอด 3 ปีแรก สำหรับลูกค้าที่ ต้องการขอกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยทั้งประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุดคอนโดมิเนียม ทีเอ็มบี มีข้อเสนออัตราดอกเบี้ยที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกการผ่อนชำระทั้งแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก คือ เดือนที่ 1-2 ไม่คิดดอกเบี้ย เดือนที่ 3-24 ดอกเบี้ย 3.99% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MLR-1.50% หรือแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก คือ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MLR-1.50% ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถเลือกการผ่อนชำระที่เหมาะสมตรงกับความต้องการได้ พร้อมสิทธิพิเศษฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าธรรมเนียมธนาคารทุกประเภท และ รับฟรี ประกันอัคคีภัย 

                  ในงานยังมีข้อเสนอพิเศษ “สินเชื่อบุคคล ทีเอ็มบี รีไฟแนนซ์” ที่ให้ดอกเบี้ยพิเศษ 10% นาน 1 ปีเต็ม สำหรับลูกค้าที่ต้องการเคลียร์หนี้สินเชื่อบุคคล หรือบัตรเครดิตต่างๆ เป็นการแบ่งเบาภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทางการเงินส่วนบุคคลให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับลูกค้าที่ต้องการความคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองชีวิต อุบัติเหตุ สุขภาพ บ้าน และรถยนต์ ก็สามารถเลือกรูปแบบประกันที่ตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการของลูกค้า พร้อมพบโปรโมชั่นดีๆ พิเศษภายในงาน 

                  นอกจากนี้ ในส่วนลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีมีผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าธุรกิจได้เป็นอย่างดี คือสินเชื่อธุรกิจ 3 เท่า 3 ก๊อก และบัญชีธุรกิจวัน แบงก์ วัน แอคเค้าท์ (One Bank One Account) โดยผู้สนใจที่ยื่นความจำนงค์ภายในงานและส่งเอกสารครบ จะได้ของที่ระลึกจากบูธอีกด้วย

                  สำหรับบูธทีเอ็มบี ในงาน Money Expo 2014 ได้รับการออกแบบภายใต้แรงบันดาลใจและแนวคิด Make THEDifference ที่ทีเอ็มบีอยากให้เป็นสถานที่ที่ลูกค้านึกถึงเป็นอันดับแรก เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่ง นอกจากที่บ้านและที่ทำงาน เป็นสถานที่ที่สาม ที่พักพิงไว้วางใจ นั่งเล่น พบปะสังสรรค์ มีบริการที่หลากหลายและให้ความสุขทางการเงินโดยสามารถตอบโจทย์เรื่องการเงินของลูกค้าเพื่อให้คุณภาพชีวิตของลูกค้าดีขึ้น

                  ลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายและสิทธิประโยชน์มากมายที่ครอบคลุมกับความต้องการของลูกค้า ในด้านอื่นๆ อาทิ บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม และสินเชื่อ SME ขอเชิญแวะมาพูดคุยสอบถามกับพนักงานได้ที่บูธทีเอ็มบี หรือพร้อมจะยกระดับสิทธิประโยชน์ให้

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

TMBAM ชวน ‘จัดทัพลงทุน’ สู่ญี่ปุ่นและยุโรป คว้าโอกาสจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของทั้งสองภูมิภาค 



        ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ในโลกยุคปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว  ในขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศยังมีความผันผวนอยู่มาก  มุมมองการลงทุนในปีนี้ของ TMBAM จึงเป็นการชวนนักลงทุนไทยให้จัดทัพลงทุน โดยการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและคว้าโอกาสเพิ่มของผลตอบแทนด้วยการ สร้างมุมมองแบบนักลงทุนระดับโลก (Global Investor) ให้มากขึ้น โดยนักลงทุนจะยังลงทุนในประเทศอยู่ การกระจายการลงทุนบางส่วนไปยังภูมิภาคที่มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างเข้ม แข็งต่อเนื่อง อาทิ ญี่ปุ่น และ ยุโรป ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจในปัจจุบัน”
      “จากแรงตอบรับที่ดีของกองทุนหุ้นญี่ปุ่นและยุโรปของเราที่เสนอขายไป เมื่อช่วงต้นปี ผนวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่องของทั้ง 2 ภูมิภาค  TMBAM จึงขอนำเสนอกองทุนหุ้นในภูมิภาคดังกล่าวอีกครั้ง ได้แก่  
    1. ‘กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10%(2)’ ที่เน้นลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นผ่านทางกองทุนหลัก Nikkei 225 Exchange Traded Fund ซึ่งบริหารจัดการแบบเชิงรับ (Passive) โดย Nomura Asset Management  
    2. ‘กองทุนเปิดทหารไทย ยูโรเปี้ยน โกรท’ ที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรปผ่านทางกองทุนหลัก Franklin European Growth Fund ซึ่งบริหารจัดการแบบเชิงรุก (Active) โดย Franklin Templeton Investments 
    3. ‘กองทุนเปิดทหารไทย ยูโรเปี้ยน โกรท เพื่อการเลี้ยงชีพ’ ที่มีนโยบายการลงทุนเหมือน ‘กองทุนเปิดทหารไทย ยูโรเปี้ยน โกรท’ พร้อมบวกด้วยสิทธิประโยชน์จากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้นักลงทุน สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้  
    ทั้ง 3 กองทุนมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศไม่ น้อยกว่า 90% ตลอดเวลา และกำหนดเปิดเสนอขายในระหว่างวันที่ 12 - 20 พฤษภาคม 2557 นี้”
      ดร.สมจินต์ กล่าวต่อว่า “ สำหรับ ‘กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10%(2)’ นั้น เหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศในหุ้นของบริษัทฯ ชั้นนำที่พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี และมีโอกาสเป็นลูกค้าเสมอๆ อาทิ Toyota, Honda, Nissan, Sony, Panasonic, Canon, Asahi, ANA, KAO, Sony, Toshiba, UNIQLO, และ 7-Eleven เป็นต้น ซึ่งคาดการณ์ว่าในช่วงหลังของปีนี้ บริษัทฯ เหล่านี้จะยังคงได้รับปัจจัยบวกจากภาพรวมของการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ น่าจะขยายตัวต่อเนื่องนับจากปีที่แล้วจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของ รัฐบาลญี่ปุ่นและการบริโภคภาคประชาชนที่ยังคงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง”  
        นอกจากนั้น กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10%(2) ยังออกแบบในลักษณะ Trigger Fund ซึ่งจะช่วยเอื้อประโยชน์แก่ผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้น ญี่ปุ่นอย่างสม่ำเสมอ กองทุนกำหนดเป้าหมายทำกำไรรวม 10% ใน 1 ปี ระหว่างทางเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 10.5 บาท (ร้อยละ 5) จะทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติทรัพย์สินของกองทุนให้ผู้ถือหน่วยลงทุน และเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมากกว่าหรือเท่ากับ 11 บาท บริษัทฯ จะสับเปลี่ยนทรัพย์สินของกองทุนที่เหลือทั้งจำนวนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทุกราย โดยเงื่อนไขเป็นไปตามหนังสือชี้ชวน
       “สำหรับภูมิภาคยุโรปนั้น เราเชื่อว่า ‘กองทุนเปิดทหารไทย ยูโรเปี้ยน โกรท’ และ ‘กองทุนเปิดทหารไทย ยูโรเปี้ยน โกรท เพื่อการเลี้ยงชีพ’ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นยุโรปพื้นฐาน ดีซึ่งผ่านการคัดสรรจาก Franklin Templeton Investments ผู้นำด้านการบริหารการลงทุนระดับโลกซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร จัดการกว่า 8.8 แสนล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ  กองทุนหลัก Franklin European Growth Fund นี้มีแนวทางการบริหารเชิงรุก มีวิธีการคัดเลือกหุ้นที่มีวินัย และให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีศักยภาพของกำไรที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องใน อนาคต กองทุนหลักนี้มีผลตอบแทนในอดีตที่น่าสนใจและการันตีด้วยการได้รับการจัด อันดับสูงสุดห้าดาวจากสถาบัน Morningstar (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557)” ดร.สมจินต์ กล่าวเสริม
        ผู้ที่สนใจลงทุนใน กองทุนเปิดทหารไทย Japan Equity Trigger 10%(2), กองทุนเปิดทหารไทย ยูโรเปี้ยน โกรท,กองทุนเปิดทหารไทย ยูโรเปี้ยน โกรท เพื่อการเลี้ยงชีพ หรือสนใจการลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆภายใต้การจัดการของบริษัทฯ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ TMBAM โทร 1725 หรือผ่านช่องทางการขายของบริษัท ได้แก่ TMB ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนการสนับสนุนการขาย และทางอินเตอร์เนตผ่านเวปไซด์ www.tmbam.com 


วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

SME คลายกังวลการเมือง เครียดภาวะเศรษฐกิจแทน 




       ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบีหรือ TMB Analytics เปิดเผยผลการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี พบว่าผู้ประกอบการ SME มีภาวะธุรกิจไม่สดใสในไตรมาส 2 ปีนี้ แม้คลายกังวลปัญหาการเมือง แต่ให้น้ำหนักกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวเพิ่มขึ้น

SME คลายกังวลการเมือง เครียดภาวะเศรษฐกิจแทน
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบีหรือ TMB Analytics เปิดเผยผลการจัดทำ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี พบว่าผู้ประกอบการ 
SME มีภาวะธุรกิจไม่สดใสในไตรมาส 2 ปีนี้ แม้คลายกังวลปัญหาการเมือง 
แต่ให้น้ำหนักกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวเพิ่มขึ้น
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า 
“ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี” (TMB-SME Sentiment Index) 
ไตรมาส 1/2557 จากความเห็นของผู้ประกอบการ SME กว่า 900 กิจการ พบว่า 
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในปัจจุบัน ลดลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ 37.6 
ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ เนื่องจากผู้ประกอบการขาดความมั่นใจด้านรายได้ของธุรกิจ
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 51.1 
ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 58.4 เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้า 
ภาวะของธุรกิจไม่สดใสมากนัก และต้นทุนของธุรกิจอาจจะเพิ่มสูงขึ้น
หากพิจารณาเฉพาะ ดัชนีความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการในปัจจุบันอยู่ที่ 45.2 และ 
ดัชนีความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 63.2 ลดลงจากไตรมาส 4/
2556 ค่อนข้างมาก สาเหตุหลักมาจาก SME กังวลเรื่องของเศรษฐกิจและการเมือง
นายเบญจรงค์ กล่าวว่า หากพิจารณาเป็นรายภูมิภาค พบว่า กรุงเทพและปริมณฑล 
มีระดับความเชื่อมั่นในปัจจุบันและอนาคตลดลงค่อนข้างมากกว่าภาคอื่น
เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเมือง 
ขณะที่ราคายางพารามีแนวโน้มชะลอตัวตลอดมา ตั้งแต่ปี 2556 ทำให้ผู้ประกอบการ SME 
ภาคใต้เชื่อมั่นต่อผลประกอบการในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม กลับพบว่า ภาคตะวันออก 
ผู้ประกอบการกลับมีความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการในปัจจุบันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 
3 ไตรมาสติดต่อกัน เพราะภาคการผลิตและการค้าที่ฟื้นตัวจากการส่งออก
และการท่องเที่ยวในพื้นที่ยังอยู่ในทิศทางที่สดใส
นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงปัจจัยที่ทำให้ SME กังวลมากที่สุดในไตรมาส 
1 พบว่า “การเมือง” เป็นปัจจัยกังวลอันดับ 1 ถือเป็นครั้งแรกในระยะเวลาเกือบ 2 
ปีนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูล ซึ่งผู้ประกอบการในกรุงเทพมีความกังวลมากกว่าต่างจังหวัด
อย่างไรก็ตาม พบว่า SME เริ่มกังวล การเมือง ลดลง เรื่อยๆ 
จากร้อยละ 43.3 ในเดือนมกราคม เป็น ร้อยละ 28.9 ในเดือนมีนาคม 
แต่หันมาให้น้ำหนักกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มขึ้น โดยจำนวน SME 
ที่กังวลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26.4 ในเดือนมกราคม เป็นร้อยละ 41.0 ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
“แม้ว่า SME จะคลายความกังวลกับปัจจัยการเมืองไปบ้างแล้ว 
แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการเมืองที่ยังยืดเยื้อ 
นับเป็นความท้าทายของ SME ในระยะต่อไป 
เราเห็นว่าหากการเมืองเริ่มคลี่คลายและภาครัฐมีความชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเ
ทศให้ฟื้นตัว จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME กลับมาได้อีกครั้ง” นายเบญจรงค์กล่าว
      นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการขนาดย่อม-ทีเอ็มบี” (TMB-SME Sentiment Index) ไตรมาส 1/2557 จากความเห็นของผู้ประกอบการ SME กว่า 900 กิจการ พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในปัจจุบัน ลดลงต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ 37.6 ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ เนื่องจากผู้ประกอบการขาดความมั่นใจด้านรายได้ของธุรกิจ

      ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 51.1 ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 58.4 เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้า ภาวะของธุรกิจไม่สดใสมากนัก และต้นทุนของธุรกิจอาจจะเพิ่มสูงขึ้นหากพิจารณาเฉพาะ ดัชนีความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการในปัจจุบันอยู่ที่ 45.2 และ ดัชนีความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 63.2 ลดลงจากไตรมาส 4/2556 ค่อนข้างมาก สาเหตุหลักมาจาก SME กังวลเรื่องของเศรษฐกิจและการเมือง

      นายเบญจรงค์ กล่าวว่า หากพิจารณาเป็นรายภูมิภาค พบว่า กรุงเทพและปริมณฑล มีระดับความเชื่อมั่นในปัจจุบันและอนาคตลดลงค่อนข้างมากกว่าภาคอื่นเนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเมือง ขณะที่ราคายางพารามีแนวโน้มชะลอตัวตลอดมา ตั้งแต่ปี 2556 ทำให้ผู้ประกอบการ SME
ภาคใต้เชื่อมั่นต่อผลประกอบการในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆอย่างไรก็ตาม กลับพบว่า ภาคตะวันออก ผู้ประกอบการกลับมีความเชื่อมั่นด้านผลประกอบการในปัจจุบันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
3 ไตรมาสติดต่อกัน เพราะภาคการผลิตและการค้าที่ฟื้นตัวจากการส่งออกและการท่องเที่ยวในพื้นที่ยังอยู่ในทิศทางที่สดใส
      นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงปัจจัยที่ทำให้ SME กังวลมากที่สุดในไตรมาส 1 พบว่า “การเมือง” เป็นปัจจัยกังวลอันดับ 1 ถือเป็นครั้งแรกในระยะเวลาเกือบ 2 ปีนับตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูล ซึ่งผู้ประกอบการในกรุงเทพมีความกังวลมากกว่าต่างจังหวัด
      อย่างไรก็ตาม พบว่า SME เริ่มกังวล การเมือง ลดลง เรื่อยๆ จากร้อยละ 43.3 ในเดือนมกราคม เป็น ร้อยละ 28.9 ในเดือนมีนาคม แต่หันมาให้น้ำหนักกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มขึ้น โดยจำนวน SME ที่กังวลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26.4 ในเดือนมกราคม เป็นร้อยละ 41.0 ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา“แม้ว่า SME จะคลายความกังวลกับปัจจัยการเมืองไปบ้างแล้ว
แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการเมืองที่ยังยืดเยื้อ นับเป็นความท้าทายของ SME ในระยะต่อไป เราเห็นว่าหากการเมืองเริ่มคลี่คลายและภาครัฐมีความชัดเจนในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเ
ทศให้ฟื้นตัว จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของธุรกิจ SME กลับมาได้อีกครั้ง” นายเบญจรงค์กล่าว


ที่มา :  (การเงินการธนาคารออนไลน์) http://www.moneyandbanking.co.th (02/05/2014 14:48)