วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TMB ออกหุ้นกู้วงเงิน 5 หมื่นลบ. อายุไม่เกิน 270 วัน 

ให้รายใหญ่


         ธนาคารทหารไทย (TMB) เสนอขายหุ้นกู้ระยะสั้นของธนาคาร อายุไม่เกิน 270 วันนับจากวันที่ออกหุ้นกู้ หรือหุ้นกู้ระยะสั้นไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวนไม่เกิน 50,000 ล้านบาท โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยตลาด ณ ช่วงเวลาเสนอขาย
ทั้งนี้เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระยะจองซื้อตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย.57 ถึงวันที่ 26 มิ.ย. 58
อันดับความน่าเชื่อถือองค์กร A+(tha) /Stable โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 30 ก.ย.56
ธนาคารมีวัตถุประสงค์ที่จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ระยะสั้นไปใช้ในการดำเนินธุรกิจของธนาคาร


วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ ดาราสาวคลื่นลูกใหม่ร่วมแชร์ประสบการณ์ในงาน “TMB เปลี่ยน... เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น”





       หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ นักแสดงและพิธีกรหน้าหวาน ร่วมงานแถลงข่าว “เมค เดอะ ดิฟเฟอร์เรนซ์ 2014 (Make THE Difference 2014) ทีเอ็มบี เปลี่ยน... เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น” นำโดย ภารไดย ธีระธาดา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี มาร่วมแชร์ประสบการณ์เปลี่ยนชีวิตของตนเอง จากสาวหน้าหวาน เป็นสาวสปอร์ตเกิร์ลที่เข้าสู่วงการนักปั่นจักรยานอย่างเต็มตัว จนเป็นแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายๆ คน เข้าสู่วงการนักปั่นจักรยานด้วย ณ ห้องออดิทอเรียม ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน




วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557


ทิศทางธุรกิจ....ภายใต้โรดแมพ (Road Map) ของ คสช.



ทิศทางธุรกิจ....ภายใต้โรดแมพ (Road Map) ของ คสช.



ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองโรดแมพด้านเศรษฐกิจของ คสช. จะช่วยให้ภาคธุรกิจฟื้นตัวได้ แต่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความชัดเจนของแผนงานในทางปฏิบัติ และการปรับตัวของผู้ประกอบการ  
ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม  ส่งผลให้ภาพการเมืองและเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ประกาศโรดแมพ (Road map) แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจออกมา ทาง TMB Analytics ได้มองภาคธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศช่วงที่เหลือของปีออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 

กลุ่มแรก คือ “ธุรกิจที่ฟื้นตัวเร็ว” ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจร้านค้าปลีกต่างๆ ซึ่งได้รับผลพวงจากเม็ดเงินจำนำข้าวที่ได้เริ่มดำเนินการจ่ายคืนกลับเข้าสู่กระเป๋าของเกษตรกรแล้วครึ่งหนึ่ง (ล่าสุดจ่ายแล้ว 4 หมื่นล้านบาทจากยอดค้างจ่าย 9.3 หมื่นล้านบาท) ทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น รวมถึงภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่มีทิศทางดีขึ้นหลังจากมีการยกเลิกประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญไปแล้วบางส่วน ได้แก่ พัทยา กระบี่ เกาะสมุย พังงา ภูเก็ต หาดใหญ่ ชะอำ เกาะช้าง หัวหิน และเกาะพะงัน 
กลุ่มต่อมา คือ “ธุรกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว” ได้แก่ ธุรกิจผลิตและขายรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในปัจจุบันพบว่ากำลังซื้อยังอ่อนแรงอยู่ แต่ด้วยทิศทางการปรับโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจ ประกอบกับความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น จะทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และน่าจะเข้าสู่ภาวะปกติได้อีกครั้งในปีหน้า อย่างไรก็ดี ธุรกิจที่อิงกับภาคการเกษตรยังคงต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงอันเนื่องมาจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจจะส่งกระทบต่อกำลังซื้อของธุรกิจเหล่านั้นในระยะถัดไปได้ 
และในกลุ่มสุดท้าย คือ “ธุรกิจที่ต้องรอปัจจัยหนุน” ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ต้องมีมาตรการหรือนโยบายจากภาครัฐช่วยกระตุ้น ได้แก่ กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ เครื่องจักรและอุปกรณ์  เนื่องจากภาครัฐอยู่ในระหว่างการดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อาทิ การตั้งบอร์ดบีโอไอเพื่ออนุมัติเงินลงทุนกว่า 7.6 แสนล้าน การลดขั้นตอนจากออกใบอนุญาต รง.4 โดยเฉพาะโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ติดตั้งบนหลังคาจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนจากในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งมาตรการต่างๆ เหล่านี้ อาจต้องรอเวลาสักพัก จึงจะทำให้กลุ่มธุรกิจที่รอปัจจัยหนุนได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ปัยจัยสำคัญสำหรับการฟื้นตัวของภาคธุรกิจในปัจจุบัน เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคด้านความชัดเจนของโครงสร้าง นโยบาย แผนงาน และมาตรการทางเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาว่าจะสามารถแปลงให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติได้มากขนาดไหน ซึ่งในส่วนภาคธุรกิจคงต้องปรับตัวตาม และเลือกวางแผนธุรกิจให้มีความสอดคล้องกับแผนงานใหม่ๆของภาครัฐ อันจะนำไปสู่การฟื้นตัวของธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพได้


TMB เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น ตอกย้ำแนวคิด 

Make THE Difference


TMB เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น ตอกย้ำแนวคิด Make THE Difference


       เริ่ม “เปลี่ยน” กันตั้งแต่วันนี้ ก็ยังไม่สาย ไม่จำเป็นต้องทนกับความคุ้นเคยเดิมๆ ล่าสุด ทีเอ็มบี นำโดย ภารไดย ธีระธาดา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร จัดแถลงข่าวเปิดตัว “เมค เดอะ ดิฟเฟอร์เรนซ์ 2014” (Make THE Difference) “ทีเอ็มบี เปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น” พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “ไม่หยุดถาม” ที่สะท้อนแนวคิดให้คนไทยรู้จักท้าทายความเคยชินเดิมๆกับทุกสิ่งรอบตัวเรา เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ดีขึ้น ตามแนวคิด Make THE Difference โดยมีแขกผู้มีเกียรติที่ร่วมเสริมแนวคิด อาทิ วาทยกรหนุ่มอายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ทฤษฎี ณ พัทลุง และ หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ นักแสดงสาวที่ได้พิสูจน์การ Make THE Difference กับเสน่ห์การปั่นจักรยาน ร่วมงาน ณ ออดิทอเรียม ทีเอ็มบี สำนักงานใหญ่ ถนนพหลโยธิน

         ภารไดย ธีระธาดา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “ในปีนี้ Make THE Difference จะใกล้ตัวคนไทยมากขึ้น กับภาพยนตร์โฆษณา “ไม่หยุดถาม” ที่เรามองสิ่งต่างๆ รอบตัวจนชินชา กลายเป็นเรื่องปกติ จุดเริ่มต้น ที่จะ Make THE Difference อยู่ที่ “คำถาม” เพียงแค่ต้องเริ่มสร้างคำถาม หันมาตั้งคำถามกับตัวเอง และสิ่งรอบข้าง ว่าเราจะทำให้ดีกว่านี้ได้หรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องทนกับความคุ้นเคยเดิมๆ เพียงแค่นี้ ก็จะเปลี่ยน...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น ได้อย่างง่ายดาย”

          ผู้ร่วมเจตนารมณ์ในการ Make THE Difference อย่างวาทยกรหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ทฤษฎี ณ พัทลุง อัจฉริยะแห่งดนตรีคลาสสิกวัย 28 ปี ร่วมแชร์ประสบการณ์และบอกเล่าถึงจุดพลิกผัน ที่นำมาสู่การเปลี่ยน เผยว่า "ความล้มเหลวครั้งหนึ่งในการเป็นคอนดักเตอร์ที่ฝรั่งเศส ทำให้เกิดการเปลี่ยน ก็คือ มีจุดหมาย ในชีวิต ปรับปรุงตัวเองและ ไม่หยุดเรียนรู้ และยังสอนให้รู้ว่า ต่อให้เราอยู่สูงแค่ไหน เราก็ตกลงมาได้” ส่วน หวานหวาน-อรุณณภา พาณิชจรูญ ที่ได้ Make THE Difference กับเสน่ห์การปั่นจักรยานแบบเอ็กซ์ตรีม ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีกับชีวิต เผยถึงการตั้งเป้าหมายอย่างภูมิใจว่า “ตอนนี้หวานรู้สึกมีความสุขกับการใช้ชีวิตมาก จากการตั้งเป้าหมายว่าจะชิงแชมป์แข่งจักรยานของประเทศไทย ซึ่งเราก็ไม่คิดว่า เราจะทำได้หรือไม่ แต่ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่ว่าเราจะเลือกจัดการชีวิตอย่างไร เมื่อเริ่มแค่ตั้งเป้าหมายให้ตัวเอง ลงมือทำ พอทำตามเป้าหมายได้ในระดับหนึ่งแล้ว คนมองเราเป็นแรงบันดาลใจ มันเป็นความสุขค่ะ อย่างน้อยเราก็ได้ช่วยทำให้พวกเขามีสุขภาพดีขึ้น ออกจากหน้าจอโทรศัพท์ ออกจากโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คบ้าง เป็นการผ่อนคลาย มีชีวิตที่แฮปปี้ขึ้นค่ะ”

           อย่ากลัวที่จะคิดนอกกรอบ เริ่มตั้ง “คำถาม” กับตัวเอง และสังคมรอบข้าง ว่าเราทำให้ดีกว่านี้ได้หรือไม่ ตั้งแต่วันนี้ เพื่อ Make THE Difference เปลี่ยน ...เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น


]



วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2557

TMBAM เปิดตัวกองทุนหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เน้น บริหารเชิงรุกคัดสรรสินทรัพย์ชั้นดีทั้งไทยและต่างประเทศ


TMBAM เปิดตัวกองทุนหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เน้น บริหารเชิงรุกคัดสรรสินทรัพย์ชั้นดีทั้งไทยและต่างประเทศ


          ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทหารไทย จำกัด (TMBAM) เปิดเผยว่า “ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เศรษฐกิจภายในประเทศยังมีความเปราะบาง ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงจนทำให้ไม่กล้าที่จะลงทุน ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศก็อยู่ในระดับต่ำจนไม่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ เราจึงได้นำเสนอทางเลือกใหม่ให้แก่ผู้ลงทุนในการช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ต และขณะเดียวกันก็คาดหวังได้ว่าจะมีรายได้รับอย่างสม่ำเสมอพอสมควร โดยกำหนดออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อว่า กองทุนเปิดทหารไทยพร็อพเพอร์ตี้ อินคัม พลัส กำหนดเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 16-27 มิถุนายน ศกนี้ ผู้สนใจสามารถเริ่มลงทุนด้วยเงินขั้นต้นเพียง 1,000 บาท

กองทุนเปิดทหารไทยพร็อพเพอร์ตี้อินคัม พลัส มีนโยบายลงทุนในหุ้นหรือตราสารในหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรุกโดยเน้นการคัดสรรสินทรัพย์คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ พร้อมกำหนดนโยบายจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสโดยขึ้นกับผลการดำเนินงานในรอบนั้นๆ

“จุดเด่นของกองทุนนี้คือผู้จัดการกองทุนมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการลงทุนตามคุณลักษณะของการเป็น Fund of Property Funds แนวทางการบริหารเชิงรุก คัดสรรหน่วยลงทุน ตราสาร หรือหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน โดยมีกรอบการลงทุนที่กว้างขวางสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ ได้เพิ่มโอกาสให้ผู้จัดการกองทุนสามารถบริหารจัดการเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี มีความสม่ำเสมอ และยังช่วยลดความเสี่ยงของการกระจุกตัวหรือพึ่งพาสินทรัพย์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่มากจนเกินไป ดังนั้น เงินลงทุนที่เริ่มต้นเพียง 1,000 บาทของเราจึงมั่นใจได้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยดูแลและลงทุนเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนเสมือนว่าเราได้ลงทุนและเป็นเจ้าของโรงแรมหรู ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาคารสำนักงานหรืออสังหาริมทรัพย์เลื่องชื่อ ขณะเดียวกันก็ยังมีสภาพคล่องที่สูงกว่าการที่เราลงทุนเองโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์แห่งใดแห่งหนึ่ง โดยสามารถซื้อ/ขายได้ทุกวันทำการ”

กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะค่อนข้างยาว ชื่นชอบรายได้/ผลตอบแทนแบบกระแสเงินสดรับ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายจ่ายเงินปันผลของกองทุนที่ตั้งไว้เป็นรายไตรมาส (ไม่เกิน 4ครั้งต่อปี ขึ้นกับผลการดำเนินงานและเงื่อนไขเป็นไปตามหนังสือชี้ชวน) โดยพอร์ตการลงทุนในเบื้องต้นคาดว่าจะประกอบด้วยการลงทุนในหุ้นหรือตราสารหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพของไทย และบางส่วนจะกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพราะมีทางเลือกการลงทุนได้หลากหลายและมีสภาพคล่องที่สูงกว่า อาทิเช่น การลงทุนในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ของประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น ทั้งนี้ เราจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีการป้องกันความเสี่ยงของเงินต้นเกือบทั้งหมดหรือไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90” ดร.สมจินต์ กล่าวเพิ่มเติม

ผู้ที่สนใจลงทุนใน กองทุนเปิดทหารไทย หรือสนใจการลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆภายใต้การจัดการของบริษัทฯ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนลูกค้าสัมพันธ์ TMBAM โทร 1725 หรือผ่านช่องทางการขายของบริษัท ได้แก่ TMB ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนการสนับสนุนการขาย และทางอินเตอร์เนตผ่านเวปไซด์ www.tmbam.com


แวลลูฯ นำทีม CSR ของ TMB เข้าเยี่ยมชมห้องสมุดโลกนิทานของหนู ณ โรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก อำเภอบางแพ    จังหวัดราชบุรี



ภาพข่าว: แวลลูฯ นำทีม CSR ของ TMB เข้าเยี่ยมชมห้องสมุดโลกนิทานของหนู ณ โรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี


          บริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด (ในเครืออีซีเอสโฮลดิงส์) หนึ่งในผู้นำธุรกิจค้าส่งสินค้าไอทีในประเทศไทย โดยคุณณรงค์ อิงค์ธเนศ ประธานบริหาร ได้มอบหมายให้คุณวรรณา องค์ประเสริฐ ผู้จัดการโครงการโลกนิทานของหนู (แถวหน้า ที่ 1 จากขวา) นำคุณนพวรรณ แสงธีรกิจ และทีมงานโครงการ “ไฟ ฟ้า” หนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคมของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เข้าเยี่ยมชมห้องสมุดโลกนิทานของหนูแห่งที่ 7 พร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน กับท่าน ผอ. เจริญ ทองเมือง (แถวหน้า ที่ 3 จากขวา) และคณะครูของโรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้



วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เลือกลงทุนอย่างมืออาชีพ'ยิ่งออม ยิ่งงอกเงย' 

ME by TMBทางเลือกใหม่ดอกเบี้ยสูงกว่าระบบ 6เท่า




         สถานการณ์การออมของคนไทยได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง และในภาพรวมพบว่าพฤติกรรมการออมของคนไทยน้อยลง แต่เมื่อลงลึกไปในข้อมูลจะพบว่า แท้จริงแล้วคนไทยทั้งประเทศมีบัญชีออมทรัพย์รวมกว่า 72 ล้านบัญชี และมีเงินออมในระบบรวมแล้วกว่า 10 ล้านล้านบาท (ตัวเลขล่าสุดในวันที่ 28 เม.ย.2557, ธนาคารแห่งประเทศไทย) คิดเป็นเงินในบัญชีออมทรัพย์สูงถึง 4.9 ล้านล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาแล้วพบว่า แท้จริงแล้ว คนไทยไม่ได้ออมน้อยลงเลย แต่ปัญหาคือเราออมอย่างถูกวิธีหรือไม่ การที่เราปล่อยเงินให้นอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ นั่นไม่ต่างอะไรกับการปล่อยเงินนอนหลับอยู่ แล้วรอเวลาที่จะลดมูลค่าลง เปรียบได้กับคำว่า "ยิ่งออม ยิ่งไม่งอกเงย"
"ดังนั้น...จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้อง "ปลุก" เงินของคุณให้ "ตื่น" เพื่อให้เงินได้งอกเงย โดยการเปลี่ยนมุมมองใหม่ ให้มองการออมเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่ง ซึ่งการออมเพื่อการลงทุนถือเป็นรูปแบบการลงทุนและการบริหาร
เงินที่ไม่มีความเสี่ยง โดยมีเคล็ดลับง่ายๆ คือ การเลือกออมในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ เช่น บัญชี ME ซึ่งให้ดอกเบี้ยสูงสุดถึง 3.25 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปถึง 6 เท่า อีกทั้งเป็นบัญชีที่มีความคล่องตัวในการฝากหรือถอน สามารถเช็คดูจำนวนดอกเบี้ยที่งอกเงยทุกวันเพื่อเป็นกำลังใจในการออม ME by TMB จึงจัดกิจกรรมภายใต้ชื่อ "WAKE UP YOUR MONEY WITH ME" ปลุกเงินให้ตื่น กระตุ้นคนไทยให้ปลุกเงินที่นอนหลับอยู่ในบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำ มาศึกษาทางเลือกการออมใหม่ๆ ที่ให้ดอกเบี้ยสูงเช่น ME by TMB" น.ส.รัชดา เสริมศิลปกุล ผู้อำนวยการการตลาดและการขาย ME by TMB กล่าว
เพราะฉะนั้นถ้าอยากมั่นใจว่าในวัยเกษียณจะสามารถใช้ชีวิตสบายๆ ได้อย่างที่ฝัน ก็ต้องมีการวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเหมาะสมกับตัวเองตั้งแต่วันนี้ ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด คือ การออมเงิน ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเริ่มออมช้าก็ยิ่งต้องเพิ่มจำนวนเงินออมในแต่ละเดือนให้มากขึ้นเรื่อยๆ

ปลุกเงินออมด้วยดอกเบี้ยสูง
มาคิดกันง่าย.... แล้วถ้าเป็นเงินออมของคุณจะปลุกให้มันตื่นได้อย่างไร?ในกรณีที่ออมเป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท โดยวิธีการแบบเดิมๆ คือ ฝากออมทรัพย์ (อัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.5% ต่อปี) เวลาผ่านไป 1 ปี เท่ากับมีเงินออมอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นบาท จะได้รับดอกเบี้ยทั้งสิ้นเพียง 163 บาท
แต่หากเปลี่ยนมาเป็นการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากขึ้น หรือ ฝากเงินที่ให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น เช่น ME by TMB ได้ดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี เพราะฉะนั้นเมื่อผ่านไป 1 ปี เราจะมีเงินออม 6 หมื่นบาท บวกกับดอกเบี้ยอีกประมาณ 1,065 บาท
ดอกเบี้ย 1,065 บาท ดูเหมือนจะน้อยนิด แต่ถ้าเราเดินหน้าออมเงินเดือนละ 5,000 บาทไปจนครบ 5 ปี เงินฝากจะเพิ่มเป็น 3 แสนบาท และได้ดอกเบี้ยประมาณ 9,445 บาท ซึ่งต่างกันลิบลับกับการฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ เพราะจะได้ดอกเบี้ยเพียง 1,374 บาท เท่านั้น
นอกจากนี้ หากเรายังคงรักษาวินัยในการออมเงินไว้ที่เดือนละ 5,000 บาท โดยได้ดอกเบี้ย 3.25% ไปอย่างต่อเนื่อง เงินออมของเรากลายเป็น ล้านบาท ภายใน 13 ปี แต่ถ้าได้ดอกเบี้ย 0.5% จะต้องฝากกันนาน 17 ปี กว่าจะมี 1 ล้านบาท ถ้าให้เงินล้านก้อนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเงินสำหรับเกษียณ ซึ่งเป็นเงินสำหรับใช้ชีวิตในวันที่ไม่มีรายได้แล้ว ก่อนจะนำเงินก้อนนี้ไปทำอะไรจึงต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ต้องคิดถึงความปลอดภัยของเงินต้น และผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
หลายคนมองซ้ายมองขวาแล้ว ไม่รู้จะนำเงินก้อนนี้ไปลงทุนอะไรให้เงินงอกเงย จึงลงเอยที่ฝากเงินไว้กับธนาคาร เพราะคุ้นเคยที่สุด สบายใจที่สุด ในกรณีที่นำเงินล้านนี้ไปฝากไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั้งหมด แล้วค่อยๆ ทยอยเบิกออกมาใช้เดือนละ 5,000 บาท เงินนี้จะหมดไปภายใน 17 ปี แต่ถ้าฝากไว้ที่ ME by TMB ได้ดอกเบี้ย 3.25% ต่อปี เงินจำนวนนี้จะยืดอายุออกไปได้อีก 6 ปี หรือใช้ไปได้นานถึง 23 ปี นี่ถือเป็นตัวอย่างที่คิดคำนวณเปรียบเทียบให้เห็นถึงความต่างของดอกเบี้ยที่เราจะได้รับ
         เตรียมพร้อม...ใช้ชีวิตแฮปปี้หลังเกษียณ ด้วย "การออม"อีกหนึ่งข้อมูลทำไม การออมจึงสำคัญ....เชื่อหรือไม่ว่า อีกไม่ช้าไม่นาน ประเทศไทยจะไม่ต่างจากประเทศญี่ปุ่น ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็จะมีแต่ "ผู้สูงวัย" นั่นเพราะประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ และในปี 2568 จะกลายเป็น "สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์" ตามการคาดการณ์ของกระทรวงสาธารณสุข
และอีกไม่ช้าไม่นานเช่นกัน เราก็จะเป็นหนึ่งในผู้สูงวัยเหล่านี้...ถ้าเราไม่เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า เมื่อถึงวันนั้นเราอาจจะไม่ได้เป็นคนแก่ที่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เนื่องจากมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะใช้ชีวิตแบบสุขสบายอย่างที่หวังไว้
ถ้าจะหวังพึ่งพารายได้จากลูกหลาน ก็คงต้องเตรียมใจเผื่อเอาไว้ด้วย โดยเฉพาะคนที่เลือกใช้ชีวิตโสด ยิ่งต้องเตรียมพร้อมเรื่องการเงินอย่างดี เพราะนอกจากไม่มีลูกหลาน ยังต้องสามารถดูแลตัวเองให้ได้ด้วย เพราะในอนาคตคนวัยทำงานหนึ่งคนจะต้องแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ลูกหลานของคนอื่นไม่มีกำลังเหลือพอมาดูแลผู้สูงอายุอย่างเรา
นั่นเพราะถ้าดูจาก อัตราส่วนเกื้อหนุนผู้สูงอายุ (Potential support ratio : PSR) จะเห็นว่า ผู้สูงอายุในปี 2543 มีคนวัยทำงานมาช่วยเหลือดูแลได้มากถึง 7 คน แต่ประเมินกันว่า ในปี 2573 ผู้สูงอายุไทยแต่ละคนจะมีคนวัยทำงานที่อาจจะช่วยในการดูแลค้ำจุนเพียง 2 คนเท่านั้น
ดังนั้นถ้าเรามีการวางแผนการออมและการลงทุน ไว้สำหรับใช้จ่ายในวัยเกษียณอย่างเหมาะสม ก็จะใช้ชีวิตในวัยแห่งการพักผ่อนได้อย่างสบายๆ ไม่ลำบาก
แต่จากการสำรวจการเตรียมความพร้อมสำหรับการวางแผนทางการเงินเพื่อวัยเกษียณของกลุ่มแรงงานในระบบ ช่วงอายุ 40-60 ปี โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนไทย 86% จะกลายเป็น "คนแก่มีกรรม" เพราะมีเงินไม่พอใช้ในวัยหลังเกษียณ

สาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีเงินไม่พอใช้ มีอยู่ 2 ข้อใหญ่ๆ คือ 
             1. ออมเงินไว้น้อยเกินไป ถ้าต้องการจะใช้ชีวิตสบายๆ แบบคนแก่ที่พอมีพอกิน เราต้องเริ่มวางแผนเก็บออมไว้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เพราะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเก็บออมให้เพียงพอสำหรับชีวิตอีก 20-30 ปีหลังจากเกษียณ
ลองคิดง่ายๆ ว่า ถ้าหลังจากเกษียณอยากจะใช้เงินสักเดือนละ 1.5 หมื่นบาท ไปอีก 25 ปี หลังจากเกษียณ เราจะต้องมีเงินอย่างน้อยๆ 4.5 ล้านบาท ในวันเกษียณ
แต่น่าเสียดายที่คนไทยออมเงินไว้น้อยเกินไป เห็นได้จากระดับการออมของครัวเรือนไทย มีค่าเฉลี่ยการออมต่อรายได้อยู่ที่ 11.3% แต่ในปัจจุบันเหลือเพียง 9.2% เท่านั้นเพราะฉะนั้นถ้าอยากจะใช้ชีวิตสบายๆ ในวัยเกษียณจะต้องเริ่มออมตั้งแต่ตอนนี้ และต้องเริ่มให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งเริ่มออมช้าก็ยิ่งต้องเพิ่มจำนวนเงินออมในแต่ละเดือนให้มากขึ้น
การเงินออมทำได้ง่ายๆ คือ มีรายได้เท่าไรให้หักออกไปออมก่อนเสมอ และใช้เงินเท่าที่เหลือจากการออมเท่านั้น
และวิธีที่ช่วยให้การออมเงินเดินหน้าไปตามเป้าหมายได้ง่ายขึ้น  คือ การออมแบบเท่าๆ กันทุกเดือน โดยอาศัยการตัดบัญชีอัตโนมัติจาก บัญชีเงินเดือนไปเก็บไว้ในอีกบัญชีหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เรารักษาวินัยในการออมได้ดีมากขึ้น
นอกจากนี้ บัญชีที่จะใช้เป็นบัญชีสำหรับการออมเงิน ก็ไม่ควรจะทำให้
เบิกเงินได้ง่ายเกินไป จึงไม่ควรเป็นบัญชีที่มีบัตรเอทีเอ็ม จะได้มีเวลาคิดทบทวนก่อนจะเบิกออกมาใช้
         2.ฝากเงิน ได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป หลายคนบอกว่า ออมเงินมาตั้งนาน แต่ดูเหมือนเงินไม่ได้งอกเงยขึ้นสักเท่าไร นั่นอาจจะเกิดจากการออมที่ได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป หรือเป็นการลงทุนที่ไม่กล้ารับความเสี่ยง ทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนน้อยตามไปด้วย
เพราะแม้เราจะบอกว่า คนไทยมีระดับการออมไม่มากนัก แต่ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ให้เห็นว่า คนไทยทั้งประเทศมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารรวมกว่า 83 ล้านบัญชี และมีเงินออมในระบบรวมกว่า 10 ล้านล้านบาท

แต่เงินฝากเหล่านี้ได้ดอกเบี้ยน้อยเกินไป
ลองนำเงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ 3-12 เดือน รวมกันประมาณ
8.4 ล้านล้านบาท มาคำนวณดูว่า ในระยะเวลา 1 ปี เงินจำนวนนี้ที่ฝากอยู่ในธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยรวมกันเท่าไร... ผลที่ได้ คือ เงินฝากจำนวนนี้จะ ได้ดอกเบี้ยประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาท
ทีนี้ลองคิดแทนคนทั้งประเทศว่า ถ้าเปลี่ยนจากฝากออมทรัพย์ทั่วๆ ไป หรือฝากประจำ แล้วย้ายไปหาการลงทุน หรือการออมที่ได้ดอกเบี้ยมากยิ่งขึ้น ปีละ 3.25% เงินฝากจำนวนเดียวกันนี้จะได้ดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 2.74 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.97 แสนล้านบาท ภายในเวลาเพียง 1 ปี
ทีนี้ก็พอจะเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เงินเราไม่งอกเงยก็เพราะเราปล่อยเงินของเราให้นอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีมานานเกินไป
เพราะฉะนั้นคงต้องรีบปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นมาออม พร้อมๆ กับปลุกเงินของเราให้ตื่นได้แล้ว..




ทีเอ็มบีแฉรายย่อยฝากน้อยแต่กู้หนัก 

บั่นทอนศักยภาพการชำระหนี้



          ทีเอ็มบีแฉรายย่อยฝากน้อยแต่กู้หนัก บั่นทอนศักยภาพการชำระหนี้  แนะรัฐชูการออมเป็นนโยบายชาติ
          ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ระบุว่า ยุทธศาสตร์สนับสนุนการออมของประเทศเป็นสิ่งจำเป็นหลังสัญญาณการออมในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ส่อปัญหาเงินฝากของรายย่อยเพิ่มขึ้นไม่ทันการขยายตัวของหนี้ภาคครัวเรือนที่เร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย แม้ทางเลือกในการออมจะมีหลากหลายแต่การฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ก็ยังเป็นทางเลือกอันดับแรกเพราะใช้บริการได้ง่ายและปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขกฎหมายคุ้มครองเงินฝากที่มียอดไม่เกิน 1 ล้านบาท จะได้รับการคุ้มครองแน่นอน ทำให้การออมของประชาชนจึงยังอยู่ที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ฝากเงินรายย่อย
          ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา (เปรียบเทียบข้อมูล มีนาคม 2547 กับ มีนาคม 2557) พบว่าการฝากเงินของรายย่อยซึ่งมีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อบัญชี มีสัดส่วน 98% ของจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งหมดแต่มีอัตราการเพิ่มของยอดเงินฝากโดยเฉลี่ยเพียง 5.7% ต่อปี ต่ำกว่าการขยายตัวของรายได้ต่อหัวของคนไทยที่เพิ่มขึ้น 6.5% ต่อปี ที่แย่ไปกว่านั้นคืออัตราการขยายตัวของเงินฝากรายย่อยนั้นต่ำกว่าการก่อหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มถึง 13.7% ต่อปี  เมื่อศึกษาพฤติกรรมการออมของคนไทยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาพบว่า อัตราการเติบโตของยอดเงินในบัญชีมักจะเพิ่มตามขนาดของบัญชี อาทิ กลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดฝากไม่เกิน 5 หมื่นบาท มีการขยายตัวของยอดเงินฝากรวมที่อัตรา 4.5% ต่อปี ต่ำกว่ากลุ่มบัญชีเงินฝากที่มียอดระหว่าง 5 แสนถึง 1 ล้านบาท ที่ขยายตัว 6.3% ทำให้ตีความได้ว่าผู้ที่มีกำลังการออมสูงกว่าหรือมีรายได้ที่จะออมมากกว่าจะมีความสามารถ “ให้เงินทำงาน” ได้มากกว่า
           แต่ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงก็เพิ่มเงินออมได้ถ้าตั้งใจจริงโดยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเช่นควรเลิก “จน เครียด กินเหล้า” เพราะจากตัวเลขการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2554 ชี้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบมีสัดส่วนประมาณ 1% ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน หากเลิกใช้จ่ายส่วนนี้ได้เงินออมก็งอกเงย 1% ของรายจ่ายต่อเดือน ส่วนค่าใช้จ่ายในการเล่นหวยและการพนันมีสัดส่วนประมาณ 1% ของค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นต่อเดือน ดังนั้นถ้าเลิกเหล้าและการพนันได้ เงินออมก็จะงอกเงยร่วม 2% ยิ่งหากลดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารที่มีโครงสร้างประมาณ 3% ของรายจ่ายรายเดือนลงได้หนึ่งในสาม เราจะมีเงินออมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3%
           จากผลสำรวจเดียวกันนี้ยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อยจะมีสัดส่วนหนี้ที่นำมาใช้ในการบริโภคอุปโภคต่อหนี้สินในอัตราที่ค่อนข้างสูง กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 15,000 บาท จะมีสัดส่วนของหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคสูงถึง 51% เทียบกับกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท ที่มีสัดส่วนเพียง 36%
           สถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นภาวะออมน้อยกู้มาบริโภคหนักโดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งส่งผลไปยังศักยภาพในการชำระหนี้รวมไปถึงปัญหาทางการเงิน ยิ่งกว่านั้นการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยอาจสร้างภาระทางการเงินให้กับประเทศได้มาก เช่น คนอาจมีเงินไม่พอใช้จ่ายในการดำรงชีพ หรือ รัฐต้องจัดงบประมาณให้เป็นสวัสดิการแก่ประชาชนมากขึ้นซึ่งจะก่อให้มีปัญหาการคลังตามมาได้ เป็นต้นหากภาวะการออมของคนไทยยังไม่ได้รับการดูแลแก้ไขให้เป็นนโยบายระดับชาติ

ที่มา : http://www.ryt9.com เสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2557